top of page

เมื่อศิลปะไม่เลือกข้าง แค่เล่าให้เราฟัง ย้อนรอย 3 ภาพสงครามที่ทุกคนต้องรู้จัก!

  • รูปภาพนักเขียน: Petch
    Petch
  • 30 ก.ค.
  • ยาว 1 นาที
ree

ก่อนจะมีมีม “สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” โลกศิลปะเขาทำคอนเทนต์นี้มาก่อนเราเป็นร้อยปี

ตั้งแต่ยุคที่คนยังคว้าดาบควบม้าไปกลางทุ่ง จนถึงวันที่ระเบิดถล่มเมืองกลางอากาศ ศิลปินหลายคนหยิบ “สงคราม” มาเล่า

ไม่ใช่เพื่อเชียร์ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญเลือดและเหล็ก

แต่เพื่อทำให้เราชะงัก มองภาพ แล้วเงียบ… แล้วถามตัวเองว่า “นี่มันเกิดขึ้นจริงเหรอ?”


เพราะศิลปะไม่ใช่ภาพข่าว วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลากลับไปดู 3 ภาพในตำนานของโลกศิลปะ ที่พูดถึงสงครามในแบบที่ไม่จำเป็นต้องมีเสียงปืน แต่มันกลับดังก้องในใจนานกว่าที่คุณคาดไว้มาก

__________


ree

🇫🇷 Liberty Leading the People (1830) by Eugène Delacroix


นี่คือฉากแห่งความโกลาหลที่งดงามที่สุดที่คุณเคยเห็น

หญิงสาวอกเปลือย กึ่งเทพกึ่งมนุษย์ มือหนึ่งถือธงชาติฝรั่งเศส อีกมือถือปืน เดินลุยกลางดินและซากศพ

รอบข้างมีทั้งชายชนชั้นแรงงาน เด็กชายถือปืนพก และผู้คนหลากชนชั้นที่ลุกขึ้นมาสู้เคียงกัน

ภาพนี้คือการบันทึก “พลังของประชาชน” หลังการปฏิวัติในปี 1830 วันที่ปารีสลุกเป็นไฟ เพราะไม่ยอมอยู่ใต้ระบอบกดขี่อีกต่อไป


แต่ก่อนที่ผู้คนจะออกมาถือธงและอาวุธ ฝรั่งเศสกำลังคุกรุ่นภายใต้การปกครองของ ชาร์ลที่ 10 (Charles X)

กษัตริย์จากราชวงศ์บูร์บงผู้ต้องการย้อนเวลากลับไปสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

เขายุบสภา ปิดสื่อ และเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งเพื่อรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ

การกระทำเหล่านี้คือการ “ตบหน้า” ชนชั้นกลาง นักคิด และประชาชนที่กำลังโหยหาสิทธิเสรีภาพในโลกสมัยใหม่


แม้ไม่มีหลักฐานว่าราชินีในยุคนั้นพูดว่า “Let them eat cake”

แต่ความรู้สึกของประชาชนก็ไม่ต่าง ชนชั้นสูงไม่เคยเข้าใจความหิวโหยของคนธรรมดา

และในเดือนกรกฎาคม 1830 ปารีสก็ระเบิดเสียงแห่งการปฏิวัติอีกครั้ง


Delacroix อาจไม่ได้จับปืนไปรบ แต่เขาจับพู่กันเพื่อบันทึก “จิตวิญญาณแห่งการลุกขึ้น”

ภาพของเขาไม่ใช่ฮีโร่ในชุดเกราะทอง แต่คือเด็ก คนงาน และประชาชนธรรมดา ที่รวมกันเป็นคลื่นเสรีภาพ


Delacroix ไม่ได้แค่วาดฉากสงคราม

เขาใส่ “ชีวิต ความหวัง และฝัน” ลงไปในสายตาของทุกคนในภาพ

และผลงานนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพมาจนถึงทุกวันนี้


แม้ภาพจะเต็มไปด้วยฝุ่นควันและซากศพ

แต่มันพูดกับเราว่า “ทุกการลุกขึ้น เปื้อนเลือดเสมอ”


ree

🐎 Charge of the French Cuirassiers at Waterloo (1874) by Henri Félix Emmanuel Philippoteaux


ถ้า Delacroix วาดภาพแห่งการลุกขึ้น

Philippoteaux ก็คือคนที่วาดช่วง “ปลายความฝัน” ของจักรวรรดิ


ภาพนี้บันทึกฉากประวัติศาสตร์สุดท้ายของจักรพรรดินโปเลียน สมรภูมิที่วอเตอร์ลู ในปี 1815

ทหารม้าชุดเกราะหนัก หรือ Cuirassiers กำลังพุ่งทะยานเต็มกำลัง ฝุ่นตลบกลางสนามรบ

พวกเขาดูเข้มแข็ง กล้าหาญ และเร้าใจ…แต่ความจริงก็คือ

“ความกล้าหาญของพวกเขากำลังถูกสั่งให้พุ่งเข้าสู่การพ่ายแพ้”


ก่อนหน้านั้น นโปเลียนเพิ่งกลับมาจากการเนรเทศที่เกาะเอลบา

และสร้างเสียงฮือฮาด้วยการทวงบัลลังก์คืนเพียงแค่ไม่กี่เดือน

แต่มหาอำนาจยุโรปที่เคยเจ็บปวดจากเขาก็รวมตัวกันใหม่ทันที อังกฤษ ปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย

เพื่อหยุดความฝันของชายคนนี้ “ให้จบลงที่นี่”


การรบที่วอเตอร์ลูจึงไม่ใช่แค่ศึกของกองทัพ แต่มันคือจุดจบของอุดมการณ์ทั้งจักรวรรดิ

และภาพของ Philippoteaux ก็คือหนึ่งในบันทึกที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดในช่วงเวลานั้น


ในแววตาของทหารบางคน เราเห็นได้เลยว่าเขาไม่ได้มั่นใจในชัยชนะ

เขารู้ว่าม้านี่กำลังวิ่งเข้าไปสู่จุดจบ แต่เขาก็ยังวิ่ง…

เพราะหน้าที่? เพราะศรัทธา? หรือเพราะไม่มีทางเลือกเลย?


และนั่นทำให้ภาพนี้ ไม่ได้พูดถึงชัยชนะหรือความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ

แต่มันพูดแทนทหารนับล้านคนทั่วโลก

ที่ไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่เป็นคนที่ “แบกทั้งยุคสมัยไว้ในมือ”


ree

🕊️ Guernica (1937) by Pablo Picasso


หาก Delacroix คือศิลปินที่วาดภาพ “เสรีภาพลุกขึ้น”

และ Philippoteaux คือคนที่วาดภาพ “ความกล้าหาญพุ่งเข้าสู่จุดจบ”

Picasso คือคนที่วาดภาพ “ความโหดร้ายที่ไม่มีใครควรต้องเจอ”


Guernica ไม่ใช่ภาพสงครามที่มีทหารหรือธงชาติ

แต่มันเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เด็ก วัว และม้า

ภาพนี้บันทึกเหตุการณ์จริงเมื่อเมือง Guernica ในสเปน

ถูกเครื่องบินรบเยอรมันและอิตาลีทิ้งระเบิดถล่มกลางวันแสก ๆ โดยไม่มีคำเตือน

นี่ไม่ใช่สนามรบ แต่คือเมืองของผู้บริสุทธิ์


ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการของ Francisco Franco พยายามกวาดล้างฝ่ายต่อต้าน

Picasso ในฐานะศิลปินผู้ลี้ภัยในปารีส ตอบโต้ด้วยการสร้างภาพที่พูดแทนผู้คนทั้งเมือง

ไม่ใช่เพื่อปลุกใจ…แต่เพื่อร้องไห้ให้โลกฟัง


Guernica ไม่มีสี มีเพียงขาว เทา ดำ

ไม่มีเส้นชัดเจน มีแต่รอยแหลมคมเหมือนใบมีดบาดความรู้สึก

เราไม่อาจบอกได้ว่าร่างไหนเป็นใคร แต่เรารับรู้ได้ทันทีว่า “นี่คือความเจ็บปวดของมนุษย์”


นี่คือภาพที่ถูกห้ามแสดงในสเปนตลอดช่วงเผด็จการ

และถูกส่งไปแสดงทั่วโลกเพื่อเป็นคำเตือนว่า

“สงครามที่ใช้ประชาชนเป็นสนามรบ…ไม่มีใครชนะ”


Guernica ไม่ได้พยายามอธิบาย ไม่ได้บอกว่าใครดีใครเลว

แต่มันบันทึก “สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำ” ด้วยภาษาอันเจ็บลึกของศิลปะ


__________


ทั้งสามภาพที่คุณเพิ่งเห็น ไม่ได้เล่าว่าใครดีใครชั่ว ไม่บอกว่าใครแพ้ใครชนะ

แต่มันทำหน้าที่ของมัน คือเตือนว่า “สงครามทุกครั้ง ทิ้งร่องรอยไว้กับทุกชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน”


และในวันที่โลกยังมีเสียงระเบิดอยู่จริง ศิลปะเหล่านี้ก็ยังพูดอยู่เงียบ ๆ

ว่า “เราเคยผ่านมันมาแล้ว… แล้วเราจะเรียนรู้อะไรบ้าง?”

.

.

__________

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารให้เราประชาสัมพันธ์ได้ที่ media@arttankgroup.co.th


Art Tank Group บริการด้านศิลปะ ครบวงจร

ประมูลศิลปะ ขนส่งและติดตั้งศิลปะ อนุรักษ์งานศิลปะ สื่อและอีเวนท์ศิลปะ

ติดต่อ : 061-626-4241


ความคิดเห็น


Art-Tank-Media-Logo
© 2022 Art Tank Group Co., Ltd. All Rights Reserved.
  • Facebook
  • Instagram
  • Twitter
  • Youtube
  • TikTok

Fear of missing out?
Subscribe!

bottom of page